ข้อมูลปลาน้ำจืดที่สำคัญ
ชื่อไทย
|
กราย หางแพน ตองกราย
|
ชื่อสามัญ
|
SPOTTED FEATHERBACK
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Chitala ornata
|
ถิ่นอาศัย
|
อาศัยในบริเวณที่มีกิ่งไม้ใต้น้ำหรือพรรณพืชน้ำค่อนข้างหนาแน่น
อยู่เป็นฝูงเล็ก พบทั่วไปตามแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึงขนาดใหญ่
ตั้งแต่แม่น้ำแม่กลองจนถึงแม่น้ำโขง ภาคเหนือเรียกว่าปลาหางแพน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกว่าปลาตองกราย
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดที่มีรูปร่างแปลกกว่าปลาอื่น
คือ ลำตัวด้านข้างแบนมาก ท้องแบนเป็นสันมีหนามแหลมแข็งฝังอยู่เป็นคู่ ๆ
จำนวนหลายคู่ จะงอยปากสั้นทู่ นัยน์ตาเล็ก ปากกว้างมาก
มุมปากอยู่เลยขอบหลังลูกตา ในตัวเต็มวัยส่วนหน้าผากจะหักโค้ง ส่วนหลังจึงโก่งสูง
มีฟันเล็กและแหลมอยู่บนขากรรไกรทั้งสองข้าง
ในวัยอ่อนมีสีเป็นลายเสือคล้ายปลาสลาด แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาเงิน
และมีจุดดวงสีดำขอบสีขาวเรียงเป็นแถวที่ฐานครีบก้น จำนวน 3-200 จุด
ปลากรายชอบผุดขึ้นมาทำเสียงที่ผิวน้ำแล้วม้วนตัวกลับให้เห็นข้างสีเงินขาว
|
อาหารธรรมชาติ
|
แมลงน้ำ ลูกกุ้ง ปลาผิวน้ำตัวเล็ก ๆ
เช่น กระทุงเหว เสือ ซิว และสร้อย
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ชื่อไทย
|
ช่อน ค้อ
|
ชื่อสามัญ
|
STRIPED SNAKE- HEAD FISH
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Channa striatus
|
ถิ่นอาศัย
|
แพร่กระจายตามแหล่งน้ำต่าง ๆ
ทั่วประเทศ
|
ลักษณะทั่วไป
|
ลำตัวอวบกลมยาวเรียว ท่อนหางแบนข้าง
หัวแบนลง เกล็ดมีขนาดใหญ่
ปากกว้างมาก มีฟันซี่เล็ก ๆ อยู่บนขากรรไกรทั้งสองข้าง ครีบทุกครีบไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบหลังและครีบก้นยาวจนเกือบถึงโคนหาง ครีบหางกลม ลำตัวส่วนหลังสีดำ ท้องสีขาว ด้านข้างลำตัวมีลายดำพาดเฉียงลำตัว มีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจจึงสามารถเคลื่อนไหว ไปบนบกและ ฝังตัวอยู่ในโคลนได้เป็นเวลานาน ๆ |
อาหารธรรมชาติ
|
กินเนื้อสัตว์ต่าง ๆ
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ชื่อไทย
|
ชะโด แมลงภู่ อ้ายป๊อก
|
ชื่อสามัญ
|
GIANT SNAKE - HEAD FISH
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Channa micropeltes
|
ถิ่นอาศัย
|
ในแม่น้ำ
และอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดที่ค่อนข้างดุ
ลำตัวเรียวยาวเป็นรูปทรงกระบอก ลักษณะครีบต่าง ๆ คล้ายกับ ปลาช่อน
แต่เมื่อเติบโตเต็มวัยมีขนาดใหญ่กว่า
ขณะยังเป็นปลาเล็กลำตัวจะมีแถบสีเหลืองอมส้มสดใสและมีแถบสีแดงหรือส้มปรากฎให้เห็น
1 แถบ
พาดตามความยาวลำตัว เมื่อปลาชะโดมีอายุมากขึ้นลายสีเหลืองจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลปนดำพร้อมทั้งมีแถบสีดำ
2 แถบ เมื่อปลาความยาวลำตัว 40 - 50 ซม.
แล้วแถบสีและลายต่าง ๆ ลบเลือนไป
สีลำตัวของปลาก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มเหลือบเขียวตลอดตัว
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินสัตว์น้ำต่าง ๆ
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
ดุกด้าน ดุก
|
ชื่อสามัญ
|
BATRACHIAN WALKING CATFISH
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Clarias batrachus
|
ถิ่นอาศัย
|
อยู่ตาม คู หนอง บึง
ซึ่งเป็นน้ำนิ่ง
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดไม่มีเกล็ด
ลำตัวเรียวยาว ด้านข้างแบน หัวเล็ก
กะโหลกท้ายทอยแหลมครีบหูมีก้านครีบแข็งปลายแหลมคมขอบหยักเป็นฟันเลื่อย
ทั้งด้านในและด้านนอก ครีบหลังครีบก้นและครีบหางแยกออกจากกัน ครีบหางกลมมน
มีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจ
|
การสืบพันธุ์
|
จะเจริญพันธุ์อายุ 8-12 เดือน และวางไข่ฤดูฝน
โดยพ่อแม่ปลาขุดโพรงตามรากไม้เพื่อวางไข่และพ่อแม่จะเฝ้าดูแลไข่และตัวอ่อน
ไข่เป็นแบบไข่จมติดกับวัตถุสีน้ำตาลอมเหลือง ใส ขนาดไข่เล็กกว่าดุกอุยมาก
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินสัตว์ทั้งที่มีชีวิตและซากของสัตว์
|
สถานภาพ
|
เป็นปลาเศรษฐกิจใช้เป็นอาหาร
|
ชื่อไทย
|
ดุกอุย
|
ชื่อสามัญ
|
GUNTHER'S WALKING CATGISH
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Clarias macrocephalus
|
ถิ่นอาศัย
|
มีอยู่ทั่วไปในบริเวณลำคลอง หนองบึง
ซึ่งมีพรรณไม้น้ำปกคลุมและมีพื้นเป็นโคลนตม
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดไม่มีเกล็ด
ลำตัวเรียวยาวด้านข้างแบน หัวแบนลง กะโหลกท้ายทอยป้านและโค้งมน
เงี่ยงที่ครีบหูมีฟันเลื่อยด้านนอกและด้านใน ครีบหลัง
ครีบก้นและครีบหางแยกออกจากกันครีบหางมีปลายกลมมน สีลำตัวมีสีดำปนเหลือง
ท้องสีเหลืองจาง มีอวัยวะพิเศษอยู่ในบริเวณช่องเหงือกมีทรวดทรงคล้ายต้นไม้เล็ก ๆ
ช่วยในการหายใจ
|
การสืบพันธุ์
|
เจริญพันธุ์อายุ 8เดือนขึ้นไป พ่อแม่ปลาดุกขุดแอ่งตื้น ๆ
ตามท้องนา และวางไข่ติดกับรากหญ้าก้นหลุม ไข่ติด สีน้ำตาลอมแดง การฉีดฮอร์โมน
อัตราฉีดตัวเมีย suprefact 20 - 30 ไมโครกรัม/กิโลกรัมร่วมกับ
motilium 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตัวผู้ 15 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมร่วมกับ motilium 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
โดยตัวเมียทิ้งไว้ 16 ชั่วโมงแล้วจึงรีด ส่วนตัวผู้ทิ้งไว้
10 ชั่วโมงแล้วผ่าเอาน้ำเชื้อออกมาทำการผสมเทียม
โดยใช้วิธีแห้งแบบดัดแปลง
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินสัตว์ ซากพืช และซากสัตว์
|
สถานภาพ
|
เป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้เป็นอาหาร
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
เทโพ หูหมาด
|
ชื่อสามัญ
|
BLACK EAR CATFISH
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Pangasius larnaudii
|
ถิ่นอาศัย
|
แต่เดิมมีชุกชุมในลำน้ำเจ้าพระยา
ในปัจจุบันมีจำนวนลดน้อยลง ในภาคอีสานพบในแม่น้ำโขง ชาวบ้านเรียก ปลาหูหมาด
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาไม่มีเกล็ดขนาดใหญ่
รูปร่างคล้ายกับปลาสวาย
เพราะเป็นปลาในสกุลเดียวกันมีหัวโตหน้าสั้นทู่กว่าปลาสวาย
ลำตัวยาวและด้านข้างแบน นัยน์ตาค่อนข้างโตและอยู่เหนือมุมปาก ปากกว้าง
มีฟันซี่เล็กแหลมคมอยู่บนขากรรไกรทั้งสองข้าง
มีหนวดเล็กและสั้นอยู่ที่ริมปากบนและมุมปากแห่งละหนึ่งคู่ กระโดงหลังสูงและมีก้านเดี่ยวอันแรกเป็นหนามแข็ง
ครีบหูมีเงี่ยงแหลมแข็งข้างละอัน มีครีบไขมันอยู่ใกล้กับโคนครีบหาง
ครีบหางมีขนาดใหญ่ปลายเป็นแฉกลึก ลำตัวบริเวณหลังมีสีดำคล้ำหรือสีน้ำเงินปนเทา
หัวสีเขียวอ่อน ท้องสีขาวเงิน มีจุดสีดำขนาดใหญ่เหนือครีบหู
|
การสืบพันธุ์
|
เจริญพันธุ์อายุ 8เดือนขึ้นไป พ่อแม่ปลาดุกขุดแอ่งตื้น ๆ
ตามท้องนา และวางไข่ติดกับรากหญ้าก้นหลุม ไข่ติด สีน้ำตาลอมแดง การฉีดฮอร์โมน
อัตราฉีดตัวเมีย suprefact 20 - 30 ไมโครกรัม/กิโลกรัมร่วมกับ
motilium 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตัวผู้ 15 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมร่วมกับ motilium 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
โดยตัวเมียทิ้งไว้ 16 ชั่วโมงแล้วจึงรีด ส่วนตัวผู้ทิ้งไว้
10 ชั่วโมงแล้วผ่าเอาน้ำเชื้อออกมาทำการผสมเทียม
โดยใช้วิธีแห้งแบบดัดแปลง
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินสัตว์น้ำที่ขนาดเล็กกว่าและซากของสัตว์
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย |
|
ชื่อสามัญ
|
WHISKER SHEATFISH
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Micronema bleekeri
|
ถิ่นอาศัย
|
มีอยู่ชุกชุมตลอดลำน้ำเจ้าพระยา
ปากน้ำโพ แม่น้ำป่าสัก ในแม่น้ำโขงก็พบชุกชุม
จับได้มากในฤดูน้ำลดช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม และภาคใต้พบในแม่น้ำตาปีใกล้บ้านดอน
มักชอบอยู่ในบริเวณน้ำลึก ๆ
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดที่อยู่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน
ไม่มีเกล็ด รูปร่างด้านข้างแบนมาก ลำตัวยาวเรียว ท่อนหางโค้งงอเล็กน้อย
แต่ตอนหัวกว้าง มีหนวด 4 เส้น ไม่มีครีบหลัง
ส่วนครีบไขมันก็ไม่มีเช่นกัน ครีบก้นยาวมีก้านครีบอ่อนประมาณ 80 ก้าน
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินลูกกุ้ง หนอน
แมลงและจุลินทรีย์ขนาดเล็ก
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ชื่อไทย
|
บึก ไตรราช
|
ชื่อสามัญ
|
MEKONG GIANT CATFISH
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Pangasianodon gigas
|
ถิ่นอาศัย
|
แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำแหล่งเดียวในโลกที่เป็นถิ่นอาศัยของปลาบึก
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาไม่มีเกล็ดหรือที่เรียกกันว่า
ปลาหนัง นับเป็นปลาน้ำจืดซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ลำตัวยาวด้านข้างแบน
หัวค่อนข้างเล็ก จะงอยปากสั้นทู่ ตามีขนาดเล็กและอยู่ในระดับเดียวกับมุมปากมีหนวดสั้นมากมีอยู่
2
คู่ ปากเล็ก ปลาวัยอ่อนจะมีฟันอยู่บนขากรรไกร เมื่อปลาเจริญวัย
ฟันจะหลุดหายไป ลำตัวมีสีเทาปนดำบริเวณหลัง
ด้านท้องใต้แนวเส้นข้างตัวลงเป็นสีเหลือง ส่วนล่างสุดจะเป็นสีขาวเงิน
ปลาบึกมีประวัติความเป็นมายาวนานมีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาเป็นเวลาร้อยปี
โดยชาวเขมรและลาวเชื่อกันว่า
ปลาบึกตัวเมียมีถิ่นอาศัยอยู่เฉพาะในทะเลสาบเขมรเท่านั้น
เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์จะเดินทางขึ้นไปตามลำน้ำโขง ผ่านประเทศลาว ไทย พม่า
ขึ้นถึงทะเลสาบตาลีในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
เพื่อผสมกับตัวผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบดังกล่าว
ปลาบึกตัวผู้มีลักษณะพิสดารกว่าตัวเมีย คือ จะมีเกล็ดเป็นสีทอง
และสิงสถิตอยู่แต่ในทะเลสาบตาลีเท่านั้น
|
การสืบพันธุ์
|
ฤดูสืบพันธุ์เริ่มต้นหลังจากสิ้นฤดูฝนและเป็นระยะที่ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเริ่มลดลง
ระยะนี้ปลาบึกที่หากินบริเวณแม่น้ำโขงตอนล่างจะอพยพขึ้นสู่ตอนบนเพื่อวางไข่ผสมพันธุ์
การผสมพันธุ์เริ่มโดยตัวเมียจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ
แล้วค่อยๆตะแคงข้างและหงายท้องขึ้น จากนั้นตัวผู้จะลอยตามขึ้นมา
และคอยจังหวะเลื่อนตัวขึ้นทับตัวเมีย แล้วจะจมสู่ก้นน้ำพร้อมกัน
ทำอยู่อย่างนี้หลายครั้งจนกว่าตัวเมียจะปล่อยไข่หมด แล้วจะไม่โผล่ขึ้นมาให้เห็นอีก
หรือเพาะพันธุ์โดยการผสมเทียมก็ได้
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินตะไคร่น้ำ ลูกปลาวัยอ่อน กินไรน้ำ
ลูกปลาขนาดเล็ก
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ชื่อไทย
|
บู่ทราย บู่จาก บู่ทอง บู่เอื้อย
บู่สิงโต
|
ชื่อสามัญ
|
MARBLED SLEEPY GOBY, SAND GOBY
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Oxyeleotris marmoratus
|
ถิ่นอาศัย
|
พบแพร่กระจายอยู่ในแม่น้ำ ลำคลอง
บึง ทั่วทุกภาคของประเทศไทยในปัจจุบัน
มีผู้นิยมเลี้ยงปลาชนิดนี้ในกระชังที่แขวนลอยอยู่ในแม่น้ำทางแถบจังหวัดอุทัยธานีนครสวรรค์ และอยุธยา |
ลักษณะทั่วไป
|
ลำตัวค่อนข้างกลม
ส่วนหางค่อนข้างแบน ปากกว้างเฉียงขึ้นข้างบนเล็กน้อย
นัยน์ตาเล็กโปนกลมตั้งอยู่ค่อนไปทางบริเวณส่วนหัว ถัดริมปากเล็กน้อยมีรู จมูกคู่หน้าเป็นหลอดยื่นขึ้นมาติดกับร่องเหนือริมปาก ครีบหลังมีสองอัน ครีบหางกลมมน เคลื่อนไหวช้าในระดับกลางน้ำแต่จะปราดเปรียวเมื่ออยู่บนพื้นดินก้นแหล่งน้ำ และสามารถหยุดการเคลื่อนไหวได้อย่างกะทันหัน ตามปกติแล้วในตอนกลาง วันปลาบู่จะทรงตัวนิ่งไม่เคลื่อนไหว ทำให้บางท่านเข้าใจว่าปลาหลับ โดยปกติปลาบู่ทรายจะฝังตัวอยู่ในพื้นโคลนหรือพื้นทราย |
การสืบพันธุ์
|
ปลาบู่ตัวผู้จะหาสถานที่ในการวางไข่ได้แก่
ตอไม้ เสาไม้ ทางมะพร้าว ฯลฯ แล้วทำความสะอาดวัสดุดังกล่าว
หลังจากนั้นตัวผู้จะเข้าเกี้ยวพาราสีพร้อมไล่ต้อนตัวเมียให้ไป
ที่เตรียมไว้เพื่อการวางไข่ โดยธรรมชาติแล้วปลาบู่มีการจับคู่ผสมกันเป็นคู่ไม่เหมือนกับ ปลาตะเพียนที่ไล่ผสมพันธุ์กันเป็นหมู่ ปลาบู่ส่วนใหญ่เริ่มมีการ ผสมพันธุ์ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แล้วแต่ความพร้อมของคู่ผสม ตั้งแต่ตอนค่ำจนถึงเช้ามืด ธรรมชาติของปลาบู่นั้นผสมพันธุ์แบบภายนอกตัวปลา คือ ตัวเมียปล่อยไข่ออกมาติดกับวัสดุแล้วตัวผู้ปล่อยน้ำเชื้อออกมาผสม โดยที่ไข่ปลาบู่จะติดกับตอไม้ เสาไม้ หรือวัสดุอื่น ๆ ที่ปลาบู่สามารถวางไข่ติด และตัวผู้จะเฝ้าดูแลไข่โดยใช้ครีบหูหรือครีบหางพัดโบกไปมา ไข่ที่ได้รับการผสมจะเป็นตัวภายในเวลา 28 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 25-27 องศาเซลเซียส |
อาหารธรรมชาติ
|
กินลูกกุ้ง ลูกปลาและหอย
เป็นปลากินจุ สามารถกินอาหารหนักเท่ากับน้ำหนักของมันต่อวันและทุก ๆ วัน
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
ยี่สก เสือ
|
ชื่อสามัญ
|
JULLIEN'S GOLDEN - PRICE CARP
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Probarbus jullieni
|
ถิ่นอาศัย
|
อยู่ตามแม่น้ำที่พื้นเป็นกรวด
หินหรือทรายที่จังหวัดหนองคาย ในฤดูวางไข่จะอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ๆ ฝูงละ 30 - 40 ตัว
บริเวณที่วางไข่อยู่ท้ายเกาะกลางแม่น้ำโขง ก่อนวางไข่พ่อแม่ปลาจะไล่กันเสียงดัง
ชาวบ้านเรียกว่า "ปลาบ้อน" การผสมพันธุ์เรียกว่า ปลาถือกัน
ฤดูวางไข่ตกราวเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ สำหรับในจังหวัดเชียงราย
ชาวประมงแถบอำเภอเชียงของเรียกชนิดนี้ว่า “ปลาเสือ”
พบในแม่น้ำสายใหญ่ๆ ของไทย และยังพบที่แม่น้ำปาหังของมาเลเซีย
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน
แต่เดิมเชื่อกันว่าถิ่นที่อยู่อาศัยของปลาชนิดนี้มีเฉพาะแม่น้ำแม่กลอง
แม่น้ำป่าสักและแควน้อย จากการสำรวจพบว่า มีปลายี่สกอาศัยอยู่ในแม่น้ำอื่นอีก
แต่เรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น พบในแม่น้ำโขงที่จังหวัดหนองคายเรียกว่า “ปลาเอิน” ที่จังหวัดเลยเรียกว่า
“ปลาชะเอิน” ปลายี่สกมีรูปร่างเพรียวในปลาขนาดเล็ก
หัวค่อนข้างโตแต่ลำตัวจะอ้วนป้อมในปลาที่โตเต็มที่ มีหนวดสั้น 2 คู่ ปากเล็กยืดหดได้อยู่คล้อยลงมาใต้ส่วนหัว ลำตัวสีเหลืองทอง
ด้านท้องสีจาง มีแถบสีดำพาดตามแนวยาวบนลำตัว 4-5 แถบ
แถบสีดำเหล่านี้จะพาดอยู่ระหว่างรอยต่อของเกล็ด ตาสีแดงครีบทุกครีบสีชมพู
ในฤดูผสมพันธุ์จะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำอมม่วง ครีบมีสีคล้ำ
ครีบหลังสูงเป็นก้านแข็งที่อันแรก ครีบหางใหญ่เว้าลึก เกล็ดขนาดใหญ่
|
การสืบพันธุ์
|
ในธรรมชาติปลายี่สกเป็นปลาที่วางไข่รวมกันเป็นฝูง
เมื่อถึงฤดูวางไข่ ปลาจะมารวมกันเป็นฝูงเพื่อจับคู่ในบริเวณที่มีกระแสน้ำไหลแรง
มีแก่งหินอยู่ใต้น้ำ เมื่อจับคู่ได้แล้ว
จะออกไปผสมพันธุ์และวางไข่ในบริเวณที่มีลักษณะเป็นแอ่งลึกประมาณ 0.5 - 2.0 เมตร กระแสน้ำไม่แรงนัก
ชาวบ้านในภาคอีสานเรียกว่า "บุ่ง"
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งที่รวมฝูงกันมากนัก โดยปลาจะวางไข่ในเวลาพลบค่ำ
สามารถสังเกตได้จากพ่อแม่ปลาขึ้นมาผสมพันธุ์บริเวณผิวน้ำ
ทำให้ชาวประมงสามารถจับได้โดยง่าย ปลายี่สกในจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรีจะวางไข่ช่วงเดือน
ธค .- มค. ส่วนในแม่น้ำโขงเริ่มตั้งแต่เดือน ธค .- มีค.
โดยระยะที่วางไข่มากที่สุดอยู่ในเดือน กพ.
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินหอยและตัวอ่อนแมลงน้ำที่อยู่บริเวณพื้นดิน
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
ลิ้นหมา ยอดม่วงน้ำจืด
|
ชื่อสามัญ
|
FRESHWATER TONGUEFISH
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Cynoglossus microlepis
|
ถิ่นอาศัย
|
พบตามแม่น้ำสายต่าง ๆ ในภาคกลาง
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดซึ่งมีรูปร่างแบนบางคล้ายใบไม้ตาทั้งสองอยู่บนซีกลำตัวด้านเดียวกันจึงมีชื่อเรียกกันว่า
“ปลาซีกเดียว”
ทั้งนี้เกิดจากการพัฒนาและปรับตัวของปลา
เพื่อให้เหมาะสมกับการดำรงชีพ ปลาชนิดนี้วัยอ่อนจะมีลำตัวซีกซ้ายและขวาเท่ากัน
เมื่อเจริญเติบโตขึ้นรูปร่างของมันจะเปลี่ยนไปดังที่พบเห็นทั่วไป
ปลาลิ้นหมามีหัวเล็ก ปากโค้งเป็นรูปเดียว นัยน์ตาทั้งสองข้างอยู่ติดริมปากบน
ครีบหลังครีบหางและครีบก้นเชื่อมติดกัน ครีบหางเล็กปลายเรียวแหลม
ลำตัวซีกซ้ายเป็นสีน้ำตาล
ซีกขวาสีขาวซึ่งใช้ยึดเกาะติดกับก้อนหินและโคลนตมตามพื้นดินบริเวณที่มีระดับน้ำลึก
|
การสืบพันธุ์
|
-
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินตัวอ่อนแมลง
หนอนที่อาศัยอยู่ตามดินโคลน
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
สร้อยเกล็ดถี่ เรียงเกล็ด นางเกล็ด
|
ชื่อสามัญ
|
WHITELADY CARP
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Thynnicnthys thynnoides
|
ถิ่นอาศัย
|
พบมากในแม่น้ำลำคลองและในแม่น้ำเจ้าพระยา
รวมทั้งแม่น้ำทางภาคเหนือของประเทศไทย ชอบรวมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณกลุ่มละ 8 - 10 ตัว
|
ลักษณะทั่วไป
|
ลำตัวยาวเรียว
รูปร่างคล้ายกับปลาลิ่น เกล็ดมีขนาดเล็ก บางและหลุดง่าย สีของเกล็ดมีสีขาวเงิน
เป็นประกายเมื่อถูกแสงสว่าง เพศผู้และเพศเมียมีลักษณะเหมือนกัน
|
การสืบพันธุ์
|
-
|
อาหารธรรมชาติ
|
ชอบกินแมลงน้ำ ตะไคร่น้ำ
และตัวอ่อนของแมลงน้ำ
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
สลาด ฉลาด ตอง หางแพน วาง
|
ชื่อสามัญ
|
GREY FEATHER BACK
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Notopterus notopterus
|
ถิ่นอาศัย
|
พบตามแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึงและอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งและสะอาด
มักอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ๆ มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นที่พบ เช่น
ภาคเหนือเรียก “หางแพน” แต่ชาวแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ปลาวาง” ภาคอีสานมีชื่อว่า “ปลาตอง”
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดซึ่งมีรูปร่างเหมือนปลากรายแต่มีขนาดเล็กกว่า
ลักษณะแตกต่างที่เด่นชัด คือ ปลาสลาดไม่มีจุดสีดำเหนือครีบก้นเหมือนอย่างปลากราย
ปลาสลาดมีลำตัวเป็นสีขาวเงินปนเทา ปากกว้างไม่เกินขอบหลังของลูกตา
ครีบหลังและครีบอกมีขนาดใกล้เคียงกัน ครีบท้องมีขนาดเล็กมาก ครีบก้นและครีบหางเชื่อมติดกันเป็นแผ่นเดียวกัน
|
การสืบพันธุ์
|
-
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินลูกกุ้ง ลูกปลาและแมลงน้ำ
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
สลิด ใบไม้
|
ชื่อสามัญ
|
SNAKE SKIN GOURAMI
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Trichogaster pectoralis
|
ถิ่นอาศัย
|
พบในแหล่งน้ำนิ่งตามหนองบึง
และที่ลุ่มภาคกลาง ในอดีตดอนกำยานจังหวัดสุพรรณบุรี
เคยเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นแหล่งที่มีปลาสลิดชุกชุมและเนื้อมีรสชาติดียิ่งนัก
ปัจจุบันมีการเลี้ยงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ในเขตจังหวัดสมุทรปราการและฉะเชิงเทรา
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดที่มีลำตัวแบนข้าง
รูปร่างคล้ายกับใบไม้และเหมือนกับปลากระดี่หม้อแต่ไม่มีจุดดำบนลำตัว
มีแถบเป็นสีดำพาดขวางลำตัวเป็นริ้ว ๆ หลายแถบ
ตัวผู้จะมีสีและแถบเข้มกว่าปลาตัวเมีย
ลักษณะของครีบหลังก็สามารถใช้แยกเพศได้เหมือนกัน คือ ปลาตัวผู้มีกระโดงหลังยาวกว่าตัวเมีย
|
การสืบพันธุ์
|
วางไข่ในน้ำนิ่ง
ในการวางไข่ตัวผู้จะเลือกสถานที่สำหรับก่อหวอด
โดยการเลือกบริเวณที่มีพรรณไม้น้ำขึ้นไม่หนาแน่นมากนักเป็นที่มีร่มเงาพอสมควร
เมื่อได้ที่เหมาะสมแล้วตัวผู้จะใช้ครีบหางพัดโบกเพื่อให้พรรณไม้น้ำขยายวงออกเกิดเป็นที่ว่าง
แล้วจะฮุบเอาอากาศเข้าไปผสมกับน้ำเมือกในปาก และพ่นออกมาเป็นฟองอากาศ
ซึ่งฟองเกาะกันเป็นกลุ่มอยู่ในบริเวณที่ว่างดังกล่าว
หวอดจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10
- 15 เซนติเมตร และนูนขึ้นจากผิวน้ำประมาณ 2 เซนติเมตร ปลาเพศผู้จะเริ่มก่อหวอดตั้งแต่ตอนบ่าย และตอนสายของวันต่อมาจึงเริ่มทำการผสมพันธุ์
โดยตัวผู้ 1 ตัวจะผสมพันธุ์กับตัวเมีย 1 ตัว เท่านั้น
ในการผสมพันธุ์ตัวผู้และตัวเมียจะรัดกันอยู่บริเวณใต้หวอดประมาณ 30 เซนติเมตร
เมื่อวางไข่เสร็จตัวผู้จะคอยไล่กัดตัวเมียให้ออกไปจากบริเวณหวอด
และทำหน้าที่ระวังไข่เองจนกระทั่งไข่ฟักเป็นตัว
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินแมลงน้ำตัวอ่อน ลูกน้ำ ลูกไร
ตะไคร่น้ำ และแพลงก์ตอน
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
หมอช้างเหยียบ หมอโค้ว ก๋า
|
ชื่อสามัญ
|
STRIPED TIGER NANDID
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Pristolepis fasciatus
|
ถิ่นอาศัย
|
ตามแม่น้ำลำคลอง หนอง บึง
|
ลักษณะทั่วไป
|
รูปร่างป้อมสั้น ลำตัวด้านข้างแบน
หัวเล็ก จะงอยปากสั้นทู่ ปากเล็กและอยู่ปลายสุด นัยน์ตาเล็ก
มีเกล็ดขนาดเล็กที่หัวและลำตัว ครีบหลังยาว
ส่วนที่เป็นก้านเดี่ยวเป็นหนามแข็งและแหลมคม ครีบก้นมีหนามแหลมคม ส่วนที่อ่อนมีขนาดใกล้เคียงกับส่วนอ่อนของครีบหาง
ครีบหางมีขนาดใหญ่ปลายมน สีโดยทั่วไปของหัวและลำตัวเป็นสีเหลืองแกมเขียว
หรือสีเหลืองปนน้ำตาล
|
การสืบพันธุ์
|
เพาะพันธุ์โดยการฉีดฮอร์โมนแล้วผสมเทียมหรือฉีดฮอร์โมนแล้วปล่อยให้รัดกันเอง
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินไข่ปลาทุกชนิด ลูกกุ้ง ลูกปลาและแมลงน้ำ
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
หมอ สะเด็ด เข็ง
|
ชื่อสามัญ
|
COMMON CLIMBING PERCH
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Anabas testudineus
|
ถิ่นอาศัย
|
แพร่กระจายทั่วทุกภาคของประเทศภาคเหนือเรียก
“ปลาสะเด็ด” ภาคอีสานเรียก “ปลาเข็ง”
|
ลักษณะทั่วไป
|
รูปร่างป้อม ลำตัวด้านข้างแบน
หัวเล็ก จะงอยปากสั้นทู่ นัยน์ตาค่อนข้างเล็กกอยู่ใกล้ปลายจมูก
ปากค่อนข้างแคบอยู่ปลายสุด กระดูกขอบกระพุ้งเหงือกหยักเป็นฟันเลื่อยแหลมแข็ง
ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า เหงือกปลาหมอ อวัยวะส่วนนี้ใช้ในการเคลื่อนไหวไปบนบก
ครีบหลังยาว ส่วนที่หนามแข็งยาวกว่าส่วนที่เป็นก้านครีบอ่อน ครีบก้นค่อนข้างยาว
ครีบหางตัดตรงขอบมนเล็กน้อย สีลำตัวเป็นสีน้ำตาลปนเหลือง ด้านท้องสีจางกว่า
มีจุดดำขนาดเท่าเกล็ดประอยู่บนหัวและลำตัว ครีบทุกครีบสีเหลืองปนดำ
มีอวัยวะช่วยหายใจอยู่ในปาก ทำให้ปลาหมอสามารถอยู่บนบกได้นาน ๆ
|
การสืบพันธุ์
|
-
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินลูกปลา ลูกกุ้ง แมลง
ซากสัตว์และพืชที่เน่าเปื่อย
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
หมูขาว
|
ชื่อสามัญ
|
Yellow - Tail botia
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Botia modesta
|
ถิ่นอาศัย
|
-
|
ลักษณะทั่วไป
|
ปลาหมูขาวมีลักษณะลำตัวจากปลายจะงอยปากถึงโคนครีบหางเป็น
2.5 - 2.9 เท่าของความกว้างลำตัว
ลำตัวเป็นสีเทาหรือเทาอมเขียว บริเวณด้านหลังสีเข้มกว่าลำตัว
ด้านท้องสีอ่อนหรือขาว บริเวณโคนหางมีจุดสีดำ จะงอยปากค่อนข้างยาว
ปลายจะงอยปากมีหนวด 2 คู่ และมุมปากมีหนวดอีก 1 คู่ ปากอยู่ปลายสุดและอยู่ในระดับต่ำ ส่วนหัวมีหนามแหลมปลายแยกเป็น 2
แฉก ครีบทุกครีบไม่มีก้าน ครีบแข็ง ครีบหลัง ครีบก้น
และครีบหางมีสีเหลืองจนถึงสีส้มหรือแดง เฉพาะครีบหางจะมีสีสดกว่าครีบอื่น ๆ
ครีบอกและครีบท้องมีสีเหลืองจาง ครีบหลังมีจำนวนก้านครีบ 9 อัน ครีบก้น 8 อัน ครีบอก 12 - 15 อัน และครีบท้อง 7 - 9 อัน
ปลาหมูขาวมีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุลปลาหมูที่พบในประเทศไทย เท่าที่เคยพบมีขนาด 23.5
เซนติเมตร แต่ขนาดที่พบโดยทั่วไปมีความยาวเฉลี่ย 10 - 25 เซนติเมตร ลักษณะของลูกปลาหมูขาวขนาดเล็กจะแตกต่างกับปลาชนิดอื่นๆ คือ
ส่วนหลังจะโค้งลาดเหมือนพ่อแม่ปลา
และบริเวณกลางลำตัวจะมีลักษณะสีดำทอดไปตามความยาวของตัวปลา เมื่ออายุได้ 45
- 60 วัน
และแถบสีดำที่พาดขวางลำตัวจะหายไปเมื่อลูกปลาโตขึ้นหรือมีอายุประมาณ 5 เดือน บุญยืนและวัฒนา (2533)
|
การสืบพันธุ์
|
-
|
อาหารธรรมชาติ
|
ตัวอ่อนของแมลงในน้ำ ตัวหนอน
สัตว์น้ำขนาดเล็กอื่นๆ และซากสัตว์
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
หลด หลดจุด
|
ชื่อสามัญ
|
SPOTTED SPINY EEL
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Macrognathus siamensis
|
ถิ่นอาศัย
|
พบตามแม่น้ำ ลำคลอง หนองและบึง
ชอบฝังตัวในดินโคลนหรือบริเวณที่มีใบไม้เน่าเปื่อย
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดอยู่ในวงศ์ปลากระทิง
มีรูปร่างคล้ายคลึงกับปลากระทิงแต่ปลาหลดมีขนาดเล็กกว่า ลำตัวยาวเรียว
ด้านข้างแบน หัวเล็ก จะงอยปากเรียวแหลมและที่ปลายมีหนวดที่สั้นอยู่ 1 คู่ ปากเล็กและอยู่ใต้ ตาเล็ก
ครีบเล็กปลายกลม ครีบหลังและครีบก้นยาวมีขนาดใกล้เคียงกัน
ครีบหางมีขนาดเล็กปลายกลมมน ไม่มีครีบท้อง หลังมีสีน้ำตาล
ท้องมีสีน้ำตาลอ่อนปนเหลือง มีจุดสีดำที่ครีบหลัง 3 - 5 จุด
บางตัวมีจุดดำที่โคนหางหนึ่งจุด
|
การสืบพันธุ์
|
-
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินสัตว์เล็ก เช่น ไส้เดือน
ตัวอ่อนของแมลงและเนื้อสัตว์ที่เน่าเปื่อย
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
ไหล ไหลนา เหยี่ยน
|
ชื่อสามัญ
|
SWAMP EEL
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Monopterus albus
|
ถิ่นอาศัย
|
พบตามหนอง บึง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำนิ่ง
อาจจะพบในนาข้าว ร่องสวนในบริเวณที่เป็นโคลนเลน
|
ลักษณะทั่วไป
|
มีรูปร่างคล้ายงู
ปลาไหลเป็นปลาที่มีสองเพศในตัวเดียวกัน
ขนาดเล็กจะเป็นเพศผู้และเมื่อเจริญเติบโตขึ้นจะเปลี่ยนเป็นเพศเมีย
ก่อนวางไข่ปลาจะสร้างหวอด โดยใช้น้ำลายพ่นกับอากาศเป็นฟองเล็ก ๆ เกาะกันเป็นกลุ่ม
ปลาไหลใช้ปากดูดไข่ที่ได้รับการผสมเชื้อแล้วพ่นติดกันกับหวอด
และจะเฝ้าดูแลไข่ของมันจนกระทั่งฟักเป็นตัว
|
การสืบพันธุ์
|
ก่อนที่ปลาไหลจะมีการวางไข่จะก่อหวอดบริเวณเหนือรูที่ขุดไว้
ช่วงนี้ปลาจะดุมาก ก่อหวอดประมาณ 1
- 2 วันจึงวางไข่ ลักษณะหวอดสีขาวขุ่น เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15
เซนติเมตร หวอดไม่เหนียวมาก แม่ปลาวางไข่ตอนกลางคืน
ไข่ของปลาไหลจะติดอยู่ใต้หวอดและกระจายอยู่ตามพื้น
แม่ปลาจะคอยพ่นน้ำจากรูตลอดเวลา ลักษณะไข่มีสีเหลืองทอง ผนังไข่หนามาก
ขนาดประมาณ 3 มิลลิเมตร
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินทั้งสัตว์ที่มีชีวิต และซากสัตว์ที่เน่าเปื่อย
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย |
|
ชื่อสามัญ
|
THAI SILVER BARB
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Puntius gonionotus
|
ถิ่นอาศัย
|
พบตามแหล่งน้ำไหล
และน้ำนิ่งทั้งในภาคกลาง ภาคเหนือและภาคอีสาน
|
ลักษณะทั่วไป
|
ปลาตะเพียนมีลำตัวค่อนข้างป้อมแบนข้าง
เกล็ดใหญ่ หัวเล็ก ปากเล็กอยู่หน้าสุด ลักษณะ
แตกต่างจากปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกัน คือ
ตะเพียนขาวมีก้านครีบอ่อนของครีบก้นอยู่จำนวน 6
ก้าน ชนิดอื่น ๆ มี 5 ก้าน
สีของลำตัวเป็นสีเขียวอมฟ้าด้านหลังสีน้ำตาลปนเทา ท้องสีขาวเงิน
ครีบก้นสีเหลืองปนส้ม ครีบอื่นๆ สีซีดจาง เป็นปลาที่ปราดเปรียวว่ายน้ำเร็ว
เมื่อตกใจจะกระโดดได้สูงมาก
|
การสืบพันธุ์
|
วางไข่แบบฝูง (schooling fertilization) จะว่างทวนน้ำขึ้นไปวางไข่ต้นน้ำตามบริเวณฝั่งของ
ลำธารเล็กๆ ที่ไหลมารวมกับลำธารใหญ่ซึ่งมีสภาพเป็นโคลน
การผสมพันธุ์โดยพ่อแม่ปลาจะรวมกันเป็นฝูงใหญ่
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินพืช
เมล็ดพืชตระกูลหญ้าโดยเฉพาะข้าว สาหร่าย ตะไคร่น้ำ ซากสัตว์ และพืชที่เน่าเปื่อย
แพลงก์ตอน ไรน้ำ
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
ตะเพียนทราย
|
ชื่อสามัญ
|
GOLDEN LITTLE BARB
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Puntius brevis
|
ถิ่นอาศัย
|
พบทั่วไปในแหล่งน้ำไหลและน้ำนิ่งตามแม่น้ำลำคลอง
หนอง บึง
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก
รูปร่างและสีสันคล้ายปลาตะเพียนขาวที่มีขนาดใกล้เคียงกัน ลำตัวยาวเรียว แบนข้าง
หัวค่อนข้างเล็ก จะงอยปากสั้น นัยน์ตาโตอยู่ใกล้กับจมูก
ปากเล็กอยู่ปลายสุดมีหนวดเล็กและสั้น 2
คู่ อยู่ที่ริมปากบนและมุมปาก เกล็ดกลมมน
สีของสันหลังเป็นสีเทาปนดำ ข้างลำตัวสีส้มจาง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นสีเหลืองจาง
ขึ้นอยู่กับสภาพสีของน้ำและสิ่งแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่ ท้องสีขาวเงินครีบหลังสีเทาอ่อน
มีแถบสีดำจางหนึ่งแถบพาดตามความยาวของครีบ ปลายแฉกบนครีบหางมีแถบดำจาง ๆ
|
การสืบพันธุ์
|
-
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินต้นอ่อนของพืช แมลงน้ำ ลูกน้ำ
ไรน้ำ
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
ตะเพียนทอง
|
ชื่อสามัญ
|
RED - TAIL TINFOIL BARB
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Barbodes altus
|
ถิ่นอาศัย
|
มีอยู่ทั่วไปในน่านน้ำจืด
และบางทีก็เจ้าไปอาศัยอยู่ในลำคลอง หนองและบึงต่าง ๆ และมีชุกชุมมากในภาคกลาง
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดที่มีสีสันสวยงามมาก
ลำตัวเป็นสีเงินหรือสีทอง ครีบท้องเป็นสีเหลืองส้มสลับแดง หางเป็นสีเหลือง
ขอบหางเป็นสีแดงส้ม กระโดงหลังสีแดงหรือสีส้ม
ปลายครีบสีดำมีขอบสีขาวมีความว่องไวและปราดเปรียวเหมือนปลาตะเพียนขาว
อยู่รวมกันเป็นฝูงหากินและ วนเวียนอยู่ตามผิวน้ำ
|
การสืบพันธุ์
|
-
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินพืชน้ำและสาหร่ายขนาดเล็ก
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
สวาย
|
ชื่อสามัญ
|
STRIPED CATFISH
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Pangasianodon hypophthalmus
|
ถิ่นอาศัย
|
พบเห็นตามแม่น้ำลำคลอง
ในที่ร่มใกล้พืชพรรณไม้น้ำ หรือบริเวณใต้แพกร่ำ หรือใต้กอผักตบชวานับแต่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปจนถึงจังหวัดนครสวรรค์และในลำน้ำโขง
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดที่ไม่มีเกล็ด
ชอบอยู่รวมฝูง อยู่ในสกุลเดียวกับปลาเทโพ
มีรูปร่างลักษณะและขนาดตลอดจนถึงความเป็นอยู่คล้ายปลาเทโพ ลำตัวเรียวยาว
ด้านข้างมีสัณฐานอวบกลม มีสันหลังค่อนข้างตรง ส่วนหน้าจะลาดลงไปจนถึงบริเวณปาก
หน้าทู่ ปากกว้าง มีหนวดสั้น 2 คู่ ลำตัวมีสีนวลขาวบริเวณหลังมีสีหม่นเข้ม บริเวณครีบจะมีสีเหลืองอ่อน
แต่ปลายหางครีบหลังและครีบอกจะมีสีค่อนข้างหม่น
ปลาสวายขนาดเล็กจะมีแถบสีดำพาดตามลำตัว
|
การสืบพันธุ์
|
ปลาสวายจะมีไข่แบบจมติดกับวัตถุ
เพาะพันธุ์โดยการฉีดฮอร์โมน หลังฉีดฮอร์โมน 12
ชั่วโมง ทำการผสมเทียม โดยใช้วิธีแห้งแบบดัดแปลง
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินซากสัตว์และซากพืชที่เน่าเปื่อยรวมทั้งวัชพืช
ลูกหอย หนอน ไส้เดือน
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
หมอเทศ
|
ชื่อสามัญ
|
JAVATILAPIA
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Oreochromis mossambica
|
ถิ่นอาศัย
|
ในแม่น้ำ ทะเลสาบ
เดิมถิ่นกำเนิดในทวีปอัฟริกา
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดที่นำเข้ามาเลี้ยงในประเทศ
มีรูปร่างคล้ายปลาหมอไทย แต่ส่วนของลำตัวและหัวใหญ่กว่า จะงอยปากค่อนข้างยาว
ปากกว้าง ริมปากหนา ขากรรไกรล่างยาวกว่าขากรรไกรบน ครีบหลังยาวและสูง
ส่วนที่เป็นก้านครีบแข็งยาวกว่าส่วนก้านครีบอ่อนมาก ครีบก้นยาว
ครีบหางมีขนาดใหญ่ปลายมน ครีบท้องอยู่ใกล้ครีบหูมีขนาดใกล้เคียงกัน
ด้านหลังมีสีเทาปนดำ ข้างตัวมีสีน้ำตาลอ่อน ท้องเหลืองจาง ๆ ตัวผู้มีขนาดใหญ่น้ำเงินปนดำ
ตัวเมียเล็กกว่าและสีซีดจาง ในการผสมพันธุ์วางไข่ ตัวเมียฟักไข่ด้วยปาก
|
การสืบพันธุ์
|
-
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินพืชน้ำ สาหร่าย
ซากพืชและสัตว์ที่เน่าเปื่อย
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
สร้อยขาว สร้อยหัวกลม สร้อย
|
ชื่อสามัญ
|
JULLIEN'S MUD CARP
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Henicorhynchus siamensis
|
ถิ่นอาศัย
|
มีอยู่ทั่วไปตามแม่น้ำลำคลองและหนองบึงทั่วทุกภาคของประเทศ
|
ลักษณะทั่วไป
|
ลำตัวยาวเพรียว แบนข้าง
ปากมีขนาดเล็ก กึ่งกลางของริมปากล่างมีปุ่มกระดูกยื่นออกมา ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของปลาในสกุลนี้
ไม่มีหนวด ตามปกติปลาชนิดนี้จะหากินรวมเป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีจำนวนไม่มากนัก
เมื่อถึงฤดูฝนปลาจะรวมตัวกันฝูงใหญ่ ๆ
เพื่ออพยพออกหนองบึงไปหาที่เหมาะสมในการผสมพันธุ์วางไข่
อันได้แก่บริเวณทุ่งนาและที่ลุ่มซึ่งมีน้ำฝนท่วมขังอยู่ ลูกปลาจะหาอาหารเลี้ยงตัวและเจริญเติบโตอยู่ในแหล่งน้ำเหล่านั้น
ครั้นถึงปลายฤดูหนาว น้ำเริ่มแห้งขอดลง
ปลาสร้อยก็จะเดินทางออกจากแหล่งหากินลงสู่แม่น้ำลำคลอง และรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่
ๆ ลอยหัวอยู่ตามผิวน้ำ ในช่วงนี้จะจับปลาสร้อยได้ครั้งละมาก ๆ
สาเหตุที่ทำให้ปลาลอยตัวอยู่ตามผิวน้ำนั้น
อาจจะเป็นเพราะออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำมีปริมาณค่อนข้างต่ำ
ทำให้ปลาต้องขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำ อาการเช่นนี้ ชาวประมง เรียกว่า
"ปลาเมาน้ำ"
|
การสืบพันธุ์
|
ช่วงฤดูผสมพันธุ์และวางไข่แตกต่างกันไปตามสถานที่และปัจจัยทางสภาพแวดล้อม
มีไข่แบบครึ่งลอยครึ่งจม วางไข่บริเวณที่มีกระแสน้ำไหล
โดยจะอพยพเป็นฝูงทวนกระแสน้ำไปวางไข่บริเวณลำน้ำหรือต้นน้ำ
ขณะที่ปลาผสมพันธุ์จะมีการส่งเสียงร้องซึ่งสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
|
อาหารธรรมชาติ
|
กินพวกพืชน้ำและแมลงน้ำ
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
สังกะวาดเหลือง
|
ชื่อสามัญ
|
SIAMENSIS PANGASIUS
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Pangasius macronema
|
ถิ่นอาศัย
|
อยู่ในแหล่งน้ำไหลเป็นส่วนใหญ่จะพบเห็นได้บ้างตามหนองและบึง
แต่มีจำนวนไม่มากนัก มีอยู่ชุกชุมในภาคกลาง บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มประมาณกลุ่มละสิบตัว
รูปร่างคล้ายปลาสวาย แต่มีขนาดเล็ก ลำตัวยาวเรียวและมีหนวดยาว
โดยเฉพาะหนวดคู่ที่มุมปากปลายหนวดยาวเลยฐานของครีบท้อง ชอบหากินอยู่ตามผิวน้ำ
ลำตัวยาวเรียวว่ายน้ำได้รวดเร็วและปราดเปรียว ลำตัวมีสีขาว
ด้านสันหลังเป็นสีเทาคล้ำครีบหามีแถบสีดำ
ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะภายนอกเหมือนกัน
|
การสืบพันธุ์
|
-
|
อาหารธรรมชาติ
|
ชอบกินซากของพืชและซากของสัตว์ที่เน่าเปื่อย
รวมทั้งผลไม้สุกงอมที่เน่าเปื่อย
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
ชื่อไทย
|
นวลจันทร์น้ำจืด
|
ชื่อสามัญ
|
SMALL SCALE MUD CARP
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Cirrhina microlepis
|
ถิ่นอาศัย
|
อยู่ตามแม่น้ำใหญ่ เช่น
แม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่อยุธยาขึ้นไปถึงนครสวรรค์ จนถึงบึงบอระเพ็ด
ปัจจุบันไม่พบแล้วในแม่น้ำเจ้าพระยา ทางภาคอีสานพบมากในลำน้ำโขง
ชาวประมงบริเวณริมโขงแถบจังหวัดอุบลราชธานีเรียกปลาตัวนี้ว่า
"ปลานกเขา" ส่วนชื่อ"นวลจันทร์"หรือ
"นวลจันทร์น้ำจืด" เป็นชื่อเรียกที่ใช้เรียกกันในภาคกลาง
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นปลาน้ำจืดที่อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน
รูปร่างเพรียวยาว ลำตัวค่อนข้างกลม ปากเล็กเกล็ดเล็ก
สีของลำตัวมีตั้งแต่สีส้มปนเทาจนถึงสีน้ำตาลปนสีขาวเงิน ท้องสีขาว
ครีบหลังและครีบหางสีน้ำตาลปนเทา ปลายครีบสีชมพู
|
การสืบพันธุ์
|
-
|
อาหารธรรมชาติ
|
เป็นปลาที่กินอาหารไม่เลือก
กินได้ทั้งพืช กุ้ง แมลงและตัวอ่อนของแมลง
|
สถานภาพ
|
เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
|
ที่มาของข้อมูล
: กรมประมง
|
The Merit Casino Review: $100 Welcome Bonus in December
ตอบลบThe Merit Casino is a งานออนไลน์ safe place for players to play and win real money. Play online casino games 메리트 카지노 in our 인카지노 review. It is an excellent choice for